Innovation

อนาคตก้าวล้ำของเทคโนโลยี กับ ความเหลื่อมล้ำ และการถูกข่มขืนทางนวัตกรรม

ความก้าวหน้าของนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่ถูกนำเสนอขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ไม่ธรรมดาที่มนุษย์เพียงหนึ่งคน หรือคนกลุ่มหนึ่ง ได้สร้างสรรค์เป็น นวัตกรรมก้าวล้ำให้พวกเราได้ใช้งานกัน นวัตกรรมใหม่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เครื่องคอมพิวเตอร์จากเครื่องใหญ่มโหฬาร กลายมาเป็นรูปทรงปราดเปรียวพกพาได้สะดวก หน้าจอไม่ว่าจะเป็นจอมอนิเตอร์ไว้เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือหน้าจอโทรทัศน์ ที่ปัจจุบันก็ได้ผสมผสานเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ หรือ 3D ที่ย่อมาจาก 3-Dimension ลงไป

อินเตอร์เฟส ขอบเขตุการเรียนรู้ และการพัฒนาที่ถูกบีบ

 

แม้กระทั่งในเรื่องของการทำธุรกิจ พูดไม่ได้ว่าเครื่องมือในการทำการตลาดพื้นฐาน ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปสิ้นเชิง การทำการตลาดออนไลน์ และการเติบโตของเครือข่ายสังคมออนไลน์ Social Network และ สื่อสังคมอย่าง Social Media เริ่มมีบทบาทในการเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อยอดธุรกิจ เทคโนโลยีเว็บ เครือข่าย และเครื่องมือค้นหา ได้ถูกเปลี่ยนรูปแบบ ทั้งการเข้ามาของ การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ หรือ Cloud Computing และการจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้กลายเป็นเว็บอัจฉริยะ หรือ Semantic Web ที่สามารถประมวลภาษามนุษย์ได้อย่างคาดไม่ถึง

 

สิ่งที่ผู้เขียนยกขึ้นมาทั้งหมด คือการเปลี่ยนแปลงที่พร้อมจะก้าวไปสู่ยุคที่ 3 และ 4 (Web 3.0 และ Web 4.0) ในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นพื้นฐาน หรือจะเรียกว่าเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญของนวัตกรรมทั้งมวล นั้นกลับยังคลุมเครือ และไม่ได้ก้าวหน้าไปแต่อย่างใด กลับถูกบดบัง และถูกตีกรอบข้อจำกัดให้ทำงาน ได้แคบลงกว่าเดิมอีกต่างห่าง เครื่องมือที่กำลังได้รับความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในยุคที่มวลนวัตกรรมกำลังพัฒนา นั่นคือ “มนุษย์” หรือ “User” นั่นเอง

 

อินเตอร์เฟส ขอบเขตุการเรียนรู้ และการพัฒนาที่ถูกบีบ

ส่วนต่อประสานหรือ อินเตอร์เฟส ที่เรารู้จักในชื่อว่า User Interface นั้นคือส่วนที่ผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์ หรือที่ User ต้องทำความเข้าใจ และใช้งาน บริษัทที่ออกแบบหน้าจอการใช้งานเครื่องมือบนเว็บไซต์ หรือบนระบบปฏิบัติการอย่าง Windows, Linux และ Mac ไปจนถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งแบบตั้งโต๊ะ และพกพาจำพวก สมาร์ทโฟน ต่างต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการทำงานร่วมกับมนุษย์ หรือ User เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนต่อประสาน หรืออินเตอร์เฟสนั้นต้องมีความยืดหยุ่นมากพอจะครอบคลุมผู้ใช้งานในหลายระดับ ซึ่งระดับที่ผู้เขียนพูดถึงนั้นคือระดับของผู้ใช้ที่เป็นมือใหม่  New User และ ผู้ใช้ระดับมืออาชีพ Advance User ซึ่งการแบ่งระดับดังกล่าวทำให้ อินเตอร์เฟส และส่วนต่อประสานงานผู้ใช้บางส่วนถูกเปลี่ยนรูปแบบ บางส่วนถูกตัดออกไป

อินเตอร์เฟสแรกที่ได้รับการวิจัย ถึงความเหลื่อมล้ำ และอยู่คาบเกี่ยวในการถูกละเลย ในความสำคัญ สิ่งแรกที่ผู้เขียนจะยกขึ้นมานั้นคือ “Shortcut Key” หรือ “คีย์ลัด” นั่นเอง เป็นตัวอย่างแรกที่ผู้เขียนต้องการจะยกขึ้นมาให้เห็นถึงข้อโต้แย้ง และผลกระทบกับเจ้าอินเตอร์เฟส ที่ทำหน้าที่อยู่ระดับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และระบบปฏิบัติตัวนี้ ตัวอย่างที่ผู้เขียนจะยกมานี้คือเรื่องของเมนู ที่มีคีย์ลัด หรือการใช้งานคีย์บอร์ดเพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น

ผู้อ่านบางท่าน คงจะคุ้นเคย และบางท่านผู้เขียนมั่นใจว่าไม่คุ้นเคยซักนิด เวลาที่เราทำงานเอกสาร จำพวก Word Document หรือท่องเว็บบนอินเทอร์เน็ต หลายคนที่ชอบใจประโยคอยากจะทำการคัดลอกมาบันทึกไว้ในโปรแกรมสำเร็จรูปจำพวก Notepad อาจจะทำการลากเมาส์คลุมบรรทัดที่เราต้องการคัดลอก แล้วกดที่แป้นคีย์บอร์ดด้วยคำสั่ง “Ctrl และแป้นอักษร C” เพียงแค่นั้นข้อมูลตัวอักษรที่คุณต้องการก็จะถูกจัดเก็บลงในโปรแกรมจดจำที่เรียกว่า Clipboard และเมื่อเราเปิดที่ไปที่เอกสาร Word ที่เราต้องการวางกลุ่มประโยค หรืออักษรดังกล่าวลงก็เพียงแค่กดคำสั่ง “Ctrl และแป้นอักษร V” ซึ่งจะเป็นการทำคำสั่ง Paste หรือ วาง นั่นเอง ที่พูดมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า ผู้อ่านบางท่านที่เป็น User หรือผู้ใช้ระดับใหม่อาจจะใช้การคลิกที่ปุ่มด้านขวาของเมาส์ แล้วเลือกเมนู Copy เมื่อต้องการวางก็เพียงแค่คลิกที่ปุ่มด้านขวาเช่นเดิมแล้วเลือกไปที่เมนู Paste มองดูเผินๆ การทำงานไม่ได้แตกต่างกัน ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน สิ่งที่ต่างก็คงเป็นเพียงแค่ ความรวดเร็ว

จากการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัย Nielsen ในหัวข้อ “Finding usability problems through heuristic evaluation” นั้นได้ผลวิจัยจากบทวิเคราะห์อย่างเป็นทางการว่า ระดับการปุ่มคีย์ลัดนั้นใช้เวลามากกว่าการใช้เมาส์คลิกที่ไอคอนสัญลักษณ์ หรือเมนูที่ปรากฏเมื่อคลิกเมาส์ที่ปุ่มด้านขวา

ถึงแม้ว่าการใช้คีย์ลัด หรือ Shortcut Key จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์มากแค่ไหน ปัญหาในการใช้งานที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ User หรือมนุษย์นั้นก็ยังมีอยู่ดี นั่นคือ ผู้ใช้หลายคนยังไม่รู้จัก ชุดคำสั่ง หรือฟังก์ชัน ในการใช้งานปุ่มคีย์ลัดได้ทั้งหมด ผู้ใช้แทบไม่ได้ใส่ใจกับคำย่อ ที่อยู่ในคำสั่งแม้แต่น้อย กลายเป็นความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ใช้งาน กับผู้พัฒนาส่วนต่อประสานผู้ใช้ หรืออินเตอร์เฟสไปไหนที่สุด ผู้ใช้งานต้องการความรวดเร็ว ผู้พัฒนาส่วนต่อประสานต้องพัฒนารูปแบบ ไอคอน และ เมนู ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ใช้ ร่วมกับระดับสายตาและการมองเห็นให้ชัดเจน และสื่อความหมาย ในยุคที่แอพพลิเคชัน และโปรแกรมภายในองค์กร หรือยุคของธุรกิจซอฟท์แวร์กำลังไปได้สวยหน้าจอของซอฟท์แวร์ทั้งหลายจะต้องมีฟังก์ชันที่รองรับการคลิกเมาส์ การจัดวางระดับเมนู และเมนูนำสายตา จึงมีหน้าตาที่คล้ายคลึง และสอดคล้องกัน จะเห็นแล้วว่าสิ่งที่พัฒนาขึ้นมานั้นล้วนแต่ต้องพัฒนาเพื่อรองรับพฤติกรรมของมนุษย์ ที่ไม่เคยที่จะปรับตัว หรือพัฒนาตนเองได้ ยุคแรกของการมีระบบปฏิบัติการ Windows จึงมีมาตรฐานของส่วนประสานผู้ใช้ที่กลายเป็นพื้นฐานให้เราเห็นเป็นต้นมา

 

การลบความเหลื่อมล้ำด้วยกฎเกณฑ์ จาก เครือข่ายสังคม กับปุ่มที่หายไป

ในยุคของการแบ่งปัน หรือ ยุคของ Web 2.0 ช่วงปลายประมาณปี 2010-2011 ยุคที่เครือข่ายสังคมได้เข้ามาเป็นเครื่องมือในการติดต่อธุรกิจ และปัจจัยหลักในการสร้างตัวตนเพื่อพบปะ เพื่อนฝูงไปจนเกิดเป็นธรรมเนียมในการบริโภคร่วมกัน ต่อยอดมากลายเป็น Social Reign หลากหลายเช่น Groupon หรือ Social Commerce หรือ Social Knowledge หรือองค์ความรู้ที่เกิดจากการแบ่งปันที่นำเสนอโดยผู้ใช้งานด้วยกัน ส่วนต่อประสานในยุคนี้ ผู้ใช้งาน เริ่มมีการพัฒนา และยกระดับตัวเองเพื่อความรวดเร็วในการแบ่งปันข้อมูล ธรรมเนียมในการกดคีย์ลัด ถูกเรียนรู้ จากการบอกต่อ ไปอย่างต่อเนื่องจากอีกคนไปสู่อีกคน ความรวดเร็ว และการแข่งขันผลักดันให้ มนุษย์ ไม่ยอมแพ้กันในเรื่องของเวลา คีย์ลัด กลายเป็นสิ่งที่ถูกกลืน และซึมซับได้รวดเร็วต่างจากยุคก่อน แม้กระทั่งเด็กระดับประธมที่เริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์ ก็ได้ถูกสอนการใช้งานผ่านฟังก์ชันของ คีย์ลัดไปโดยปริยาย

การลบความเหลื่อมล้ำด้วยกฎเกณฑ์ จาก เครือข่ายสังคม กับปุ่มที่หายไป

เพราะชีวิตที่ต้องพึ่งพาเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ Social Network ในการบอกเล่าเรื่องราว และสัญชาตญาณในการเอาชนะที่มีอยู่ภายในส่วนลึกของมนุษย์ ความรวดเร็ว กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญของการใช้งานเทคโนโลยีประเภทเว็บไซต์จำพวก เครือข่ายสังคมออนไลน์ คีย์ลัดเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่รวดเร็วพอ การใช้ฟังก์ชันในการวาง หรือ Paste ที่ทำได้โดยการกดปุ่ม Ctrl และแป้นพิมพ์ V ที่ช่องกรอกที่หน้า Wall ของ Facebook หรือหน้า Wall ของ Fan Page ในการทำการตลาด กระทั่งหน้าจัดการวีดีโอของเว็บ YouTube ไปจนถึงการทวิตข้อความ 140 ตัวอักษรบน Twitter ต้องเสียจังหวะ เพราะยังต้องใช้เวลามาขยับเมาส์เพื่อกดปุ่ม Submit

คุณจะเห็นว่า Facebook ในช่วงปี 2010 จนถึงปัจจุบันเริ่มจะมีการนำปุ่ม Submit รวมไปถึงปุ่มใน Comment ในหน้าสำคัญอย่างหน้า Wall ของ Profile และหน้า Fan Page ออกไปจากสารระบบ เล่นเอาผู้ใช้หลายคน งง กันเป็นแถบถึงขั้นที่ต้องบ่นอุบถึง การเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟสครั้งนี้  ว่าต้องไตร่ตรองข้อความให้ถี่ถ้วนก่อนจะทำการกดปุ่ม Enter ลงไป แม้จะได้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตอบรับ มากน้อยยังไงสุดท้ายพฤติกรรมการปรับตัว ที่ต้องเล่นตามกฎเกณฑ์ของผู้คุมกฎ และธรรมเนียมของคนหมู่มาก การซึมซับ และเรียนรู้อินเตอร์เฟสที่ถูกตัดส่วนต่อประสานอย่างปุ่ม Submit ออกไปสามารถแทรกซึมเข้าสู่การเรียนรู้ของมนุษย์ได้ทันที

Component พื้นฐานบางอย่างหายไปจาก Interface ของ Facebook, 2010

เครือข่ายสังคมที่ได้รับความนิยมอย่าง Facebook คือเว็บไซต์ ที่มีกลุ่มผู้ใช้งานสูงที่สุด และเตรียมพร้อมขยายฐานผู้ใช้มากขึ้น ซึ่งผู้ใช้ทุกคนล้วนจะต้องปฏิบัติการกฎเกณฑ์ของผู้พัฒนา และเพราะกฎเกณฑ์ดังกล่าวที่ตั้งขึ้นจะต้องนำเอานวัตกรรมพื้นฐานดั้งเดิมที่มีมาแต่นานของส่วนต่อประสานหรืออินเตอร์เฟสออกไป ก็ไม่ได้มีผลทำให้กลุ่มผู้ใช้ หรือ User รู้สึกลำบากต่อการเปลี่ยนแปลง หนำซ้ำยังเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมหมู่มากให้เกิดการยอมรับกันมากขึ้น

 

ระบบปฏิบัติการรูปแบบใหม่ หลากหลายแพลตฟอร์ม และ แถบเลื่อน Scroll Bar ที่หายไป

ในงาน WWDC2011 ของ Apple หรือที่เราเรียกว่างาน Apple Worldwide Developers Conference ที่จัดขึ้นในวันที่ 6 มิถุนายน 2011 ที่ Moscone West ใน San Francisco สหรัฐอเมริกาฯ ในงานนั้น สตีฟ จ็อบส์ ได้ออกมานำเสนอบริการ iCloud ซึ่งถือว่าในปี 2011 นี้ Apple ขอเป็นผู้ตามกระแส อย่าง Cloud Computing บ้าง แต่สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอ และนำมาวิเคราะห์ประเมินนั้นไม่ใช่บริการ iCloud สิ่งที่ผู้เขียนให้ความสนใจนั้นกลับเป็น เจ้าระบบ ปฏิบัติการ Mac OS X Lion หรือ แมค โอเอส เท็น ไลออน นั่นเอง

ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดบนเครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องแล็บท็อปของ Apple แล้วกับเจ้า Mac OS X Lion ซึ่งหากมองในเรื่องคุณลักษณะใหม่นั้น ถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนหน้าจอส่วนต่อประสานผู้ใช้ หรืออินเตอร์เฟสใหม่แทบจะเกือบทั้งหมด ในส่วนของ Feature ใหม่นั้นผู้เขียนคงไม่ขอ ยกตัวอย่างอธิบายไว้มีโอกาส อาจจะกลับมาเล่าให้ฟังใหม่กับ Feature เหล่านั้น แต่ประเด็นในที่นี้ คือ Feature ที่ชื่อว่า Launchpad

ที่ผู้เขียนคงต้องหยิบยกมาอธิบายให้ได้ทราบถึงเจ้า Feature ตัวนี้เพราะประเด็นการใช้งานของมัน กำลังจะเป็นการเปลี่ยนอนาคตของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป คอมพิวเตอร์พกพา แท็บเล็ต หรือแม้กระทั่งสมาร์ทโฟน เลยก็ว่าได้ Feature ที่มีชื่อว่า Launchpad นั้นเปรียบเสมือนการจำลองหน้าจออินเตอร์เฟสฟังก์ชันการทำงานของระบบปฏิบัติการ Mac OS X Lion ให้กลายเป็นหน้าจอที่เหมือน iOS หรือเรียกได้ว่าถอดแบบมาจาก iOS แทบจะทุกส่วนที่แสดงผล โดยเป็นการจำลองหน้าจอจัดเรียงไอคอนของโปรแกรมทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่อง

ซึ่งลักษณะก็จะเหมือนกับบน iOS โดยเราสามารถเลื่อนหน้าจอไปหน้าอื่น ได้โดยการใช้มือสไลด์ที่หน้าจอ เพราะว่าเครื่อง Mac OS ที่จะปรากฏในรุ่นต่อไปหลังจากนี้นั้นจะถูกพัฒนาให้รองรับการทำงานแบบ Multi-Touch แทบจะทั้งหมด ซึ่งการทำงานแบบ Multi-Touch นี่เองจะผู้ใช้งานหรือ User นั้นจะสามารถทำการแบ่งส่วนของโฟลเดอร์ที่มีอยู่บนหน้าจอระบบปฏิบัติการได้เหมือนการจัดเรียง และจัดวางบนระบบปฏิบัติการของ iOS บนสมาร์ทโฟนทันที หมายความว่า Apple กำลังจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติการรุ่นต่อไปของ เครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ให้อยู่ในรูปแบบของ แพลตฟอร์มที่เหมือน iOS ทั้งหมด

Feature ที่มีชื่อว่า Launchpad บน OSX Lion ของ Apple

 

 

ก็เพราะการเพิ่มระบบ Multi-Touch และ Featureที่ชื่อว่า Launchpad เข้าไปในระบบปฏิบัติการ Mac OS X Lion นี่เองผู้ใช้งานที่ได้ทดลองใช้จะ ทราบทันทีว่า Apple กำลังจะทำการตัด ส่วนต่อประสานผู้ใช้พื้นฐานอีกตัวเช่นกัน หลังจากที่ Facebook ได้ตัดปุ่ม Submit ข้อความออกไป ส่วนต่อประสาน หรืออินเตอร์เฟสที่ Apple เลือกตัดออกไปนั้นคือ อินเตอร์เฟส พื้นฐานอย่างแถบเลื่อนด้านข้างทั้งแนว ระนาบ และ แนวดิ่งอย่างเจ้า Scroll Bar นั่นเอง

Scroll Bar นั้นเป็นอินเตอร์เฟสพื้นฐานที่ติดตัวระบบปฏิบัติการมาตรฐาน ตั้งแต่สมัยของเครื่องคอมพิวเตอร์จอเขียว ใช้งานควบคู่กับเมาส์ในการคลิกที่ตัวเลื่อน แล้วทำการเลื่อนไปมาซ้ายขวา และ ขึ้นลง Apple ได้ตัดส่วนต่อประสานส่วนนี้ออกไปใน ระบบปฏิบัติการ Mac OS X Lion โดยให้เหตุผลว่า Scroll Bar นั้นเริ่มถูกละเลย และไม่ค่อยมีความจำเป็นแล้วในปัจจุบัน โดยเฉพาะโปรดักส์หลักของ Apple อย่างระบบปฏิบัติ iOS บน iPhone และ iPad นั้นใช้เทคโนโลยี Multi-Touch ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนตัวแล้วผู้เขียนต้องย้อนกลับมามองดูตัวเองในฐานะ User ที่มีทักษะในการใช้งานอินเตอร์เฟสระดับหนึ่ง จะเห็นว่าอันที่จริง Scroll Bar นั้นก็ถูกละเลยตั้งแต่ยุคที่อุปกรณ์ เมาส์มีลูกกลิ้งเมาส์แทร็ค Mouse Track ให้ใช้นิ้วเลื่อนหมุนวงล้อซึ่งพฤติกรรมของผู้ใช้นั้น ส่วนใหญ่ที่มีอุปกรณ์เมาส์ที่มีเมาส์แทรก มัดจะทำการสไลด์ลูกกลิ้งเลื่อนขึ้น ลงมากกว่าการนำ ลูกศรไปคลิกค้างที่แถบเลื่อนบนหน้าจอระบบ หรือเว็บไซต์ แล้วค่อยทำการเลื่อนอีกที ปัจจัยทั้งหมดนี้ต่างกันเพียงแค่ความรวดเร็ว จากการใช้งานเท่านั้นเอง และจากที่ผู้เขียนได้สังเกตมาแล้ว ส่วนต่อประสานที่ Apple นำเสนอบน iPad และ iPhone นั่นคือ Multi-Touch นั้นเป็นนวัตกรรมที่ ผู้ใช้งานไม่ต้องใช้พยายามมากมายที่จะต้องเรียนรู้ และปรับตัวเท่าใดนัก

หน้าจอการทำงานที่สามารถลองผิดลองถูกได้ง่าย ในกลุ่มผู้สูงอายุ

ผู้เขียนได้สังเกตจากพฤติกรรมผู้ใช้ หรือ User ในช่วงอายุ 40-60 ปีหรือช่วงที่เรียก Generation ของคนกลุ่มนี้ได้ว่าใกล้เคียงกับรุ่นของกลุ่ม Baby Bloomer หรือ กลุ่มประชากรที่อยู่ในช่งเวลาที่ต้องเริ่มวางแผน ปลดระวางและดีดตัวเองออกจากงาน อธิบายให้ง่าย ก็คือรุ่นคุณตา คุณยาย หรือ คุณพ่อ คุณแม่ของเรา กลุ่ม User กลุ่มนี้จะต้องอาศัยความพยายามที่สูงมากในการศึกษาการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อประบบปฏิบัติการ Windows หรือระบบปฏิบัติกรอื่น เพราะทักษะในการควบคุม เมาส์ และ การเข้าถึงเมนูผู้ใช้งานบนหน้าจอนั้น ยังคงมีการจัดระดับ Level ของเมนูการใช้งานซับซ้อน แต่เมื่อมีนวัตกรรมอย่าง iPad หรือ iPhone ที่เป็นระบบปฏิบัติการ iOS แล้วผู้ใช้งาน หรือ User สูงอายุกลุ่มนี้กลับเรียนรู้ได้รวดเร็ว และไม่ต้องศึกษาขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแค่ เลื่อน ขยาย กดที่ไอคอนสัญลักษณ์ของแอพพลิเคชัน ทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา หรือ แท็บเล็ตอย่าง iPad นั้นมีกลุ่มผู้ใช้งานที่อยู่ในช่วงอายุ 40-60 ปีมากขึ้นอีกด้วย

 

นวัตกรรมอื่นที่กำลังจะถูกตัดออกไป ในถานะถ่วงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

นอกจากการที่ Facebook ตัดปุ่ม Submit และลดอัตราการรีเฟชหน้าจอ และ Apple ได้ตัดเจ้า Scroll Bar ออกไปจากอินเตอร์เฟสของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของตน อุปกรณ์ที่ไม่ใช่อินเตอร์เฟส หรือส่วนต่อประสาน แต่เป็นอุปกรณ์จำพวก ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟท์แวร์ต่างๆ กำลังจะเปลี่ยนการจัดเก็บจากแผ่น CD, DVD หรือ Blue Ray ออกไปเป็น OTA หรือ On The Air นั่นคือการอัพเกรดรุ่นของระบบปฏิบัติการ หรือ แอพพลิเคชันสำหรับทำงานในรุ่นต่อไปของ Apple และ ระบบปฏิบัติการรุ่นอื่นในท้องตลาด จะใช้การชำระผ่านระบบออนไลน์ และทำการติดตั้งปรับรุ่นผ่านอินเทอร์เน็ตเพียงเท่านั้น เพราะสังเกตได้จาก แล็ปท็อปอย่าง Mac Book Air ในปัจจุบันเริ่มจะไม่มีช่องสำหรับใส่แผ่น CD อีกต่อไป นั่นหมายความว่านวัตกรรมด้านฮาร์ดแวร์ และ ซอฟท์แวร์กำลังเข้าสู่ยุคของ On-Demand นั่นเอง

พวกเรากำลังถูก “ข่มขืน” ทางนวัตกรรมจาก Facebook, Google และ Apple อยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า

 

บทสรุป

เทคโนโลยีที่กำลังก้าวหน้าได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของส่วนต่อประสาน และตั้งกฎเกณฑ์มาควบคุมผู้ใช้ หรือ User แทนหลังจากที่ User เป็นฝ่ายควบคุมนวัตกรรม และส่วนต่อประสานมาตลอด ณ วันนี้พฤติกรรมที่ไม่เคยที่จะยอมเปลี่ยนแปลงของผู้ใช้ หรือ มนุษย์นั้นต้องถูก ควบคุมโดยผู้พัฒนาซะเอง จะเห็นว่า ทั้ง Facebook และ Apple ที่สำคัญแม้กระทั่ง Google ที่กำลังจะเปลี่ยนเทคโนโลยีแพลตฟอร์มเว็บให้ก้าวสู่ยุคเว็บอัจฉริยะ นั้นพยายามที่จะสร้างกฎให้ผู้ใช้อย่างเราๆ ดำเนินไปตามกฎของพวกเขา สิ่งใดที่พวกเขาตัด เราต้องตัด สิ่งใดที่พวกเขาปรับ เราต้องปรับ ทุกสิ่งโดยผิวเผินสร้างความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้ และเรา นวัตกรรม และการเข้าสังคมทำให้เราดูดี และทันข้อมูลข่าวสาร สร้างมูลค่า แต่เบื้องลึกในสัญชาตญาณของพวกเรา หรือแม้กระทั่งผู้เขียน ในบางครั้งน่าจะเคยรู้สึกว่าพวกเรากำลังถูก “ข่มขืน” ทางนวัตกรรมจาก Facebook, Google และ Apple อยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า

คุณผู้อ่านว่ายังไงบ้างครับ หากมีข้อสงสัยหรือเห็นในมุมที่แตกต่างสามารถพูดคุยได้ในช่อง Comment ข้างล่าง หรือ ReTweet ผ่าน Twitter ที่ @daydev ได้นะครับ

Asst. Prof. Banyapon Poolsawas

อาจารย์ประจำสาขาวิชาการออกแบบเชิงโต้ตอบ และการพัฒนาเกม วิทยาลัยครีเอทีฟดีไซน์ & เอ็นเตอร์เทนเมนต์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท Daydev Co., Ltd, (เดย์เดฟ จำกัด)

Related Articles

Leave a Reply

Back to top button

Adblock Detected

เราตรวจพบว่าคุณใช้ Adblock บนบราวเซอร์ของคุณ,กรุณาปิดระบบ Adblock ก่อนเข้าอ่าน Content ของเรานะครับ, ถือว่าช่วยเหลือกัน