Concept

Amazon เปิดเกมรุกตลาดเพลงออนไลน์ บุกตี iTunes ครั้งนี้จะรุ่งหรือร่วง?

หลังจากที่ปล่อยให้ทาง Apple ถือสิทธิ์ขาดในการให้บริการเพลงออนไลน์หรือ Online Music Store มาได้ระยะหนึ่งผ่าน iTunes แล้วก็ถึงเวลาที่ Amazon หันมาเอาดีด้านบริการเพลงออนไลน์ ผ่าน Cloud Computing ที่เรียกว่า “Cloud Drive” แนวคิดดังกล่าวนี้จะสามารถต่อกรกับบริการเพลงยอดนิยมของ iTunes ได้หรือไม่ต้องก็คงต้องลองมานั่งวิเคราะห์ในคุณลักษณะของบริการนี้ว่าจะไปได้ไกลมากน้อยเท่าไร

Amazon เปิดเกมรุกตลาดเพลงออนไลน์

ความยุ่งยากของธุรกิจ Streaming Music (กลุ่มเพลงดิจิตอล)

บริการ Cloud Drive ของ Amazon เปิดตัวเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเน้นไปที่ความสะดวกของผู้ใช้บริการสามารถย้ายคอลเล็กชั่นเพลงส่วนตัว หรือจะให้ขยายความให้ชัดเจนก็คือ เพลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไปอยู่ที่ระบบ Cloud Computing หรือบริการที่จัดเก็บข้อมูลแบบกลุ่มเมฆที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ขณะนี้ หากจะให้ประเมินพฤติกรรมของผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นบน Cloud Computing ในประเทศไทยและต่างประเทศนั้น ยังถือว่าแตกต่างกันมาก โดยวัดจากแอพพลิเคชั่นบน Cloud ที่มีมาก่อนของ Google Apps ซึ่งในกลุ่มของคนไทยนั้นยังถือว่าน้อยมากที่จะเริ่มหันมาใช้งานแนวคิดของ Cloud Computing ทั้งที่ต่างประเทศกลับให้ความสำคัญมากกว่าการใช้ Software พัฒนาเหมือนเมื่อก่อน
สาเหตุสำคัญอาจจะเพราะความยุ่งยากในการเข้าถึงและภาษาในการสื่อสารที่ยากจะเข้าใจในกลุ่มของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย แต่ถ้าแนวคิดของ Cloud Drive นี้ ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่ดีแล้วน่าจะเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะกลุ่มคนในประเทศไทยและเอเชีย ต่างให้ความสำคัญในเรื่องของดนตรีเป็นเรื่องอันดับต้นๆ ยิ่งมีการผูกขาดกับธุรกิจบันเทิงอย่างดนตรีแล้ว ประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชีย น่าจะใช้ประโยชน์กับรูปแบบธุรกิจบนเทคโนโลยีตัวนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสร้างผลกำไรอย่างแน่นอน

การปฏิวัติครั้งสำคัญของวงการเพลงดิจิตอล

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Amazon

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Amazon
แนวคิดสำคัญของระบบ Cloud Drive นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Amazon มั่นใจในตัวบริการว่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของวงการเพลงดิจิตอล โดยมีเป้าหมายหลักคือการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้บริการ Online Music Store จากการซื้อ และดาวน์โหลดเพลงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วค่อยส่งไปยังอุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แบบเดิมให้กลายเป็นการย้ายเพลง คอลเลคชันของเพลงในเครื่องของผู้ใช้บริการไปอยู่บนระบบ Cloud Computing เพื่อที่จะให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเพลง และคอลเล็กชั่นเพลงของตัวเพลงได้จากอุปกรณ์ทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตามโดยไม่ต้องเสียเวลาในการอัพเดตหรือ ซิงค์โครไนช์เพลงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์พกพาแม้แต่น้อย

ในบางครั้งอาจจะต้องยอมถอยหลัง เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า

แม้จะเป็นแนวคิดที่ดี น่าสนใจจากหลักการที่ฟังดูง่าย และเข้าใจง่ายก็ตาม แต่บริการ Cloud Drive ของ Amazon นั้นกลับได้รับเสียงตอบรับในทางที่ไม่ดีสักเท่าไรในช่วงเปิดตัวบริการ นั่นก็เพราะขั้นตอนในการใช้งานที่ยุ่งยากตามสไตล์ของ Amazon

การปฏิวัติครั้งสำคัญของวงการเพลงดิจิตอล

ที่สำคัญคือระบบ Cloud Drive ในช่วงแรกนี้ยังไม่รองรับการใช้งานผ่านอุปกรณ์อย่าง iPhone และ iPad ของ Apple ซึ่งอาจจะเป็นการมองข้ามพฤติกรรมบางส่วนของผู้ใช้งานไป นั่นคือความสะดวกในการแสดงผลผ่านอุปกรณ์พกพานั่นเอง และนั่นก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่นัก ถ้าเทียบกับการเปิดตัวบริการ Cloud Drive โดยไม่ได้ตกลงข้อเสนอใดๆ กับค่ายเพลง ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่ค่ายเพลงหลายค่าย โดยเฉพาะ Warner Music และ SONY Music สองค่ายยักษ์ใหญ่ที่แสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้า การที่ Amazon รีบเปิดตัวเกินไป เพราะกลัวว่าบริการของตนจะไม่สามารถสู้กับ Google Apps ได้ จนละเลยที่จะทำข้อตกลงกับค่ายเพลงทั้งหมด จึงมีความเป็นไปได้ว่า ค่ายเพลงทั้งหลายคงจะผิดหวังกับบริการ Amazon Drive ตัวนี้ จากที่จะคาดหวังว่าเป็นบริการ Cloud Music Platform แนวคิดใหม่ๆ สุดท้ายก็กลับเลือกที่จะเป็น ฮาร์ดไดร์ฟบนระบบ Cloud ที่สามารถเก็บเพลงได้ถูกกฎหมายแทน อีกทั้งหุ้นส่วนของ Amazon อย่าง eMusic ก็ได้ออกมาวิจารณ์ว่า ระบบ Amazon Drive ที่พูดถึงนี้แทบไม่มีการแบ่งปัน หรือมีความเป็น Social เลยแม้แต่น้อย

แม้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นส่วนมาก ทั้งจากผู้ใช้ หุ้นส่วน และค่ายเพลงแต่ Amazon ก็ยังมั่นใจและพร้อมจะปลุกปั้นบริการ Amazon Drive ต่อไป โดยยึดตามความคิดของประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับในตัวบริการ ซึ่งทาง Amazon มั่นใจแล้วว่าผลสำรวจจากธุรกิจบนสื่อดิจิตอลอื่นๆ นั้นผู้ใช้มักจะได้รับความพึงพอใจที่จ่ายค่าบริการเพียงครั้งเดียว โดยเฉพาะเพลงที่สั่งซื้อเพลงใหม่ผ่าน Amazon Store หรือซื้อพื้นที่บน Amazon Drive ไว้เก็บคอลเล็กชั่นเพลงแล้วสามารถเข้าถึงเพลง และยังเล่นได้ทุกที่ทุกอุปกรณ์ เมื่อใดที่การใช้งานแบบเดิมได้รับความนิยม ก็คงจะถึงเวลาที่ย้ายบริการนี้ไปอยู่ในวงจรของ Social Network ทีเดียว

การปฏิวัติครั้งสำคัญของวงการเพลงดิจิตอล

บทสรุป

หลังจากที่ผู้เขียนได้ เข้าใช้บริการของ Cloud Drive ของ Amazon แล้วก็พบว่าบริการดังกล่าวดูจะเข้าท่า และสร้างความพอใจสำหรับผู้ที่ชอบเก็บคอลเล็กชั่นเพลงส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการจัดคอลเล็กชั่นซ้ำซ้อนในอุปกรณ์พกพา และคอมพิวเตอร์ทีละครั้ง เพียงแต่การสมัครใช้บริการและขั้นตอนการใช้บริการนั้นยังถือว่ายุ่งยากและใช้เวลานานในการอัพโหลด เพราะบริการนี้จะค้นหาทุกไฟล์ที่เป็นนามสกุล MP3 บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณซึ่งกว่าจะเสร็จในขั้นตอนนี้ผู้เขียนใช้เวลาทั้งสิ้นเกือบ 4 ชั่วโมง ฉะนั้นขอสรุปตัว Amazon Drive ก่อนเลยว่าบริการ Streaming ตัวนี้มีโอกาสสูงที่จะเสียสมาชิก และลูกค้า เพราะขั้นตอนมรการอัพโหลดที่ยุ่งยาก และนานจนเกินไป

Did you know?
Amazon มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพลงดิจิตอลเพียง 13% 
แม้ว่าจะแข่งกับ iTunes ของ Apple มาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว

Asst. Prof. Banyapon Poolsawas

อาจารย์ประจำสาขาวิชาการออกแบบเชิงโต้ตอบ และการพัฒนาเกม วิทยาลัยครีเอทีฟดีไซน์ & เอ็นเตอร์เทนเมนต์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท Daydev Co., Ltd, (เดย์เดฟ จำกัด)

Related Articles

Leave a Reply

Back to top button

Adblock Detected

เราตรวจพบว่าคุณใช้ Adblock บนบราวเซอร์ของคุณ,กรุณาปิดระบบ Adblock ก่อนเข้าอ่าน Content ของเรานะครับ, ถือว่าช่วยเหลือกัน